FED ปีศาจการเงิน ตอนที่ 4/5

1 year ago
41

“การให้ตวามรู้เรื่องเงิน ในวิชาเศรษฐศาสตร์ เป็นการใช้ความซับซ้อนเพื่ออำพรางความจริงหรือหลบเลี่ยงความจริง ไม่ใช่เพื่อเปิดเผยความจริง”
- จอห์น เคนเนธ กัลเบรธ

เราถูกสอนให้คิดว่าเงินเป็นกระดาษที่พิมพ์จากแท่นพิมพ์ของรัฐบาลหรือเหรียญที่ออกโดยโรงกษาปณ์ของรัฐ แม้ว่าสิ่งนี้จะเป็นจริง แต่ก็เป็นแค่เพียงบางส่วน เพราะธนบัตรและเหรียญที่หมุนเวียนอยู่นั้น เป็นเพียงเศษเสี้ยวเล็กๆ ของเงินทั้งหมดที่หมุนเวียนอยู่ในระบบเศรษฐกิจ กว่า 90% ของปริมาณเงินนั้นถูกสร้างขึ้นโดยธนาคารเอกชนในรูปของเงินกู้ที่ผู้กู้ต้องจ่ายคืนให้กับธนาคารพร้อมด้วยดอกเบี้ย

แม้ว่าบรรดาพ่อมดการเงินจะพยายามทำให้ผู้คนเข้าใจว่า การสร้างเงินเป็นศิลปะการเล่นแร่แปรธาตุพิเศษและได้รับการดูแลโดยรัฐบาลอย่างระมัดระวัง แต่ก็ไม่อาจปิดบังความจริงได้

เมื่อปี 1977 FED สาขานิวยอร์ก ตีพิมพ์แผ่นพับข้อมูลหลอกล่อผู้คนด้วยการ์ตูนที่อธิบายขั้นตอนการสร้างเงินว่า:

“ธนาคารพาณิชย์สร้างเงินขึ้นในสมุดเช็คเมื่อใดก็ตามที่ธนาคารให้กู้เงิน พวกเขาเพียงแค่เพิ่มเงินฝากใหม่ลงในบัญชีเพื่อแลกกับไอโอยู (IOU) ของผู้กู้... ธนาคารสร้างเงินโดยสร้างรายได้จากหนี้ธุรกิจและหนี้ส่วนบุคคล นั่นคือพวกเขาสร้างเงินขึ้นมาจำนวนเท่ากับมูลค่าของไอโอยูเหล่านั้น”

อธิบายด้วยภาษาที่เข้าใจง่ายก็คือ: "เงินส่วนใหญ่ในระบบเศรษฐกิจนั้นเป็นเพียงตัวเลขอยู่ในบัญชีธนาคารที่เราใช้จ่ายหรือโอนได้ มันไม่ได้ถูกสร้างขึ้นโดยโรงพิมพ์ของรัฐบาล แต่มันถูกเสกขึ้นมาเป็นตัวเลขโดยธนาคารเมื่อมีการปล่อยกู้ให้ผู้กู้แบบมีดอกเบี้ย นั่นคือเงินที่ธนาคารปล่อยกู้นั้นไม่ใช่มาจากเงินฝาก แต่เป็นเงินใหม่ที่เสกให้มีขึ้นในบัญชีของผู้กู้ และธนาคารสามารถเสกเงินได้เป็นจำนวนที่มากกว่าเงินฝากมากมายนัก"

FED โฆษณาชวนเชื่อว่ามีหน้าที่ดูแลและสนับสนุนอุตสาหกรรมการธนาคาร เพื่อทำให้มีเสถียรภาพและป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ความตื่นตระหนกทางการเงิน เช่น Panic of 1907 ขึ้นมาอีก

หากนั่นคือเป้าหมายจริง ก็หมายถึง FED ล้มเหลว เพราะ FED สร้างฟองสบู่ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกาที่เกิดขึ้นในทศวรรษที่ 1920 (เพียงหนึ่งทศวรรษหลังก่อตั้ง FED) และนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ที่สุดช่วงหนึ่ง (The Great Depression) ในประวัติศาสตร์อเมริกา นักเศรษฐศาสตร์รู้กันดีว่าเป็นเพราะการจัดการปริมาณเงินที่ผิดพลาด และ เบน เบอร์นันเก้ อดีตประธาน FED เคยยอมรับว่า “คุณพูดถูกที่ว่า เราทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่นั้น เราเสียใจมาก แต่ขอบคุณนะ เราจะไม่ทำอีก”

“เสถียรภาพของราคาสินค้า” เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ FED อ้างว่าเป็นภารกิจสำคัญที่ต้องดูแล และ FED ก็ล้มเหลวโดยสิ้นเชิงเช่นกัน เพราะหลังก่อตั้ง FED ผ่านไป 100 ปี ดัชนีราคาผู้บริโภคสูงขึ้นประมาณ 30 เท่า

เงินกระดาษก็เป็นความรับผิดชอบของ FED เงินดอลลาร์ที่หมุนเวียนอยู่นั้นคือหนี้ที่รัฐบาลสัญญาจะจ่ายคืนให้ FED หรือ "พันธบัตรรัฐบาล" ที่ค้ำประกันโดยประชาชนผู้เสียภาษีนั่นเอง กฎหมายกำหนดให้ FED ต้องมีทองคำสำรองเพื่อค้ำประกันธนบัตรเหล่านั้น แต่ข้อกำหนดนั้นถูกละเลย และในปัจจุบันธนบัตรถูกค้ำประกันโดยหลักทรัพย์ของรัฐบาลเป็นส่วนใหญ่ FED ไม่ได้เก็บทองคำจริงไว้ มีแต่เพียง “ใบรับรอง” ที่ออกโดยกระทรวงการคลัง และแทนที่จะมีมูลค่าตามราคาสปอต แต่กลับกำหนดเป็น “ราคาตามกฎหมาย” ตามอำเภอใจไว้ที่ 42 2/9 ดอลลาร์ต่อออนซ์

เห็นได้ชัดว่ามีความแตกต่างระหว่างสิ่งที่เราเชื่อว่า FED ทำกับสิ่งที่ทำจริง เพื่อให้เข้าใจว่าแท้จริงแล้ว FED ทำอะไร สิ่งสำคัญอันดับแรกคือต้องเข้าใจว่า FED ไม่ใช่ธนาคาร แต่เป็นระบบที่ถูกประมวลและจัดทำเป็นสถาบัน เพื่อดูแลและสนับสนุนรูปแบบของการธนาคารที่เรียกว่า Fractional Reserve Banking ที่ให้ธนาคารปล่อยกู้ยืมได้มากกว่าทรัพย์สินที่มีอยู่จริงในห้องนิรภัย

จี. เอ็ดเวิร์ด กริฟฟิน ผู้ทำวิจัยเรื่อง FED มายาวนาน เล่าว่า:

"กระบวนการของความเสื่อมถอยและการฉ้อฉลเริ่มต้นจากสิ่งที่เรียกว่า Fractional Reserve Banking มันเป็นชื่อทางเทคนิคของวิธีปฏิบัติทางการธนาคารที่พัฒนามาเป็นเวลานานหลายศตวรรษ โดยเริ่มจากยุโรปซึ่งทำให้กระบวนการทางบัญชีที่ไม่สุจริตกลายเป็นสิ่งที่ถูกกฎหมาย

ย้อนไปในอดีตนานมาแล้ว ผู้คนนำเงินและทองของพวกเขาไปฝากไว้กับธนาคารเพื่อความปลอดภัย พวกเขาจะได้กระดาษมาเป็นใบเสร็จที่นำไปแลกรับเงินและทองกลับคืนมาได้ทุกเมื่อที่ต้องการ พวกเขาสามารถใช้ใบเสร็จนั้นซื้อสินค้าหรือแลกเปลี่ยนกันได้ ผู้คนจะยอมรับใบเสร็จเหล่านั้นเสมือนกับเป็นเงินและทอง เพราะรู้ว่าพวกเขาสามารถนำไปแลกที่ธนาคารได้เมื่อต้องการ ใบเสร็จเหล่านั้นก็คือเงินกระดาษ

และแล้ว นายธนาคารก็ตระหนักว่าพวกเขานั่งอยู่บนกองเงินกองทองที่มีผู้นำใบเสร็จมาแลกกลับคืนน้อยมาก เพียง 5 -7% และคิดได้ว่า ธนาคารสามารถออกใบเสร็จเป็นมูลค่ามากกว่าเงินและทองที่รับฝากไว้จริงได้โดยไม่มีใครรู้ และธนาคารสามารถปล่อยใบเสร็จเหล่านั้นออกไปในระบบเศรษฐกิจโดยคิดดอกเบี้ย เพื่อให้ผู้คนใช้ซื้อสินค้าหรือแลกเปลี่ยนกัน นั่นคือจุดเริ่มต้นของ Fractional Reserve Banking

และตอนนี้มันกลายเป็นสถาบันและถูกสอนในโรงเรียน ไม่มีใครตั้งคำถามถึงความถูกต้องหรือจริยธรรมของมัน ผู้คนยอมรับว่า นั่นคือวิธีการทำงานของธนาคาร และคิดว่ามันก็ดีไม่ใช่หรือ ที่เรามีความยืดหยุ่นและเราก็เจริญมั่งคั่ง

ระบบนี้ทำงานได้แม้มีระลอกคลื่นบ้าง แต่บางครั้งมันขยายเป็นคลื่นใหญ่มหึมา เมื่อมีคนเข้ามาขอแลกเงินและทองคืนจากธนาคาร เพิ่มขึ้นจาก 5-7% อาจเป็น 20 ถึง 30 เปอร์เซ็นต์ แล้วธนาคารก็บอกว่าไม่มีให้ และนำไปสู่ความตื่นตระหนกที่แผ่ขยายไปทั่ว นั่นคือสิ่งที่ผู้คนไม่ต้องการให้เกืดขึ้นอีก พวกเขาต้องการที่จะหยุดมัน

และนั่นคือจุดประสงค์ที่อ้างเพื่อก่อตั้ง FED คือเพื่อหยุดสิ่งนั้น แต่คนที่ออกแบบระบบเพื่อหยุดมันก็คือคนที่ทำมันตั้งแต่แรก ไม่ต้องแปลกใจที่มันไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาที่ผู้คนกังวล แต่มันขยายปัญหาให้ใหญ่ขึ้น ก่อนหน้านั้นปัญหาอยู่ในระดับท้องถิ่น และ FED ก็บอกว่าเราจะไม่ทำเช่นนั้น เราจะรวบรวมมันทั้งหมดเข้าด้วยกันและเราจะทำมันในระดับชาติ”

กุญแจสำคัญคือ "ใครเป็นผู้ควบคุมระบบเศรษฐกิจ (ควบคุมเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาที่เป็นหัวรถจักรของเศรษฐกิจโลก ก็คือควบคุมเศรษฐกิจของทั้งโลก) ด้วยการกำหนดระดับที่ธนาคารต้องตั้งสำรอง และเป้าหมายอัตราดอกเบี้ย?

ระบบของ FED จงใจสร้างความสับสนเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนของภาครัฐและธนาคารเอกชน คณะกรรมการต่างๆ ที่รวมศูนย์ไว้ที่กรุงวอชิงตันและแผ่ขยายอำนาจไปทั่วสหรัฐอเมริกา

เหตุผลที่ FED พยายามทำให้โครงสร้างองค์กรสับสนมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ก็เพื่อปกปิดผลประโยชน์ทับซ้อนจำนวนมหาศาล FED ประกอบด้วยคณะกรรมการผู้ว่าการ สาขาภูมิภาค 12 แห่ง และคณะกรรมการที่เรียกว่า Federal Open Market Committee (FOMC) ธนาคารเอกชนที่เป็นสมาชิกของ FED จะโหวตเลือกกรรมการ FED ส่วนใหญ่ แล้วคณะกรรมการก็โหวตเลือกสมาชิกให้ทำหน้าที่ใน FOMC ซึ่งกำหนดนโยบายการเงิน ยิ่งไปกว่านั้น วอลล์สตรีทยังได้รับตำแหน่งสำคัญใน FOMC โดยถือเป็นประเพณีว่าประธาน FED สาขานิวยอร์กจะต้องได้รับตำแหน่งรองประธานและเป็นสมาชิกถาวรของ FOMC นั่นคือธนาคารเอกชนมีบทบาทหลักอยู่ใน FOMC ซึ่งควบคุมเศรษฐกิจทั้งหมด

FED กล่าวว่า "การตัดสินใจนโยบายการเงินไม่จำเป็นต้องได้รับการอนุมัติจากประธานาธิบดีหรือใครก็ตามในฝ่ายบริหารหรือฝ่ายนิติบัญญัติของรัฐบาล FED ไม่ได้รับเงินที่จัดสรรโดยสภาคองเกรส และสมาชิกในคณะกรรมการผู้ว่าการก็มีวาระที่ยาวนานกว่าประธานาธิบดีและสภาคองเกรส"

FED ออกหุ้นที่ถือโดยธนาคารสมาชิกที่สร้างระบบ แม้ว่าผลกำไรจะถูกส่งกลับไปยังคลังในแต่ละปี แต่ผู้ถือหุ้นจะได้รับเงินปันผลซึ่งกำหนดไว้คงที่ 6% เพื่อให้ดูเสมือนว่าไม่ได้ถือครองเพื่อผลกำไร

สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจว่านายธนาคารที่เป็นเจ้าของ FED ไม่ได้ทำเงินจากเฟดโดยตรง แต่มีผลประโยชน์ที่ซับซ้อนกว่ามาก เราจะเข้าใจเรื่องนี้ได้จากวิกฤตการเงินเมื่อปี 2008 ที่ FED ถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่ออุ้มนายธนาคาร มีรายงานการตรวจสอบวงเงินช่วยเหลือจำนวน 16 ล้านล้านดอลลาร์จาก FED หลังเกิดวิกฤตที่เผยให้เห็นถึงผลประโยชน์ทับซ้อนมากมาย ที่เห็นได้ชัดคือ ในขณะที่เจฟฟรีย์ อิมเมลต์ ผู้บริหารระดับสูงของ General Electric (GE) ดำรงตำแหน่งกรรมการในคณะกรรมการของ FED สาขานิวยอร์กนั้น GE ได้รับเงินช่วยเหลือ 16 พันล้านดอลลาร์ และ Jamie Dimon ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ JP Morgan Chase เป็นสมาชิกของคณะกรรมการ FED สาขานิวยอร์ก และ FED ให้ JP Morgan Chase กู้ยืมฉุกเฉิน 391 พันล้านดอลลาร์ โดยรวมแล้ว FED ให้เงินกู้ 4 ล้านล้านดอลลาร์กับธนาคารเอกชน เงินเหล่านี้ไม่เพียงทำให้ธนาคารลอยตัว แต่ยังทำให้มีกำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ในขณะที่ประชาชนทั่วไปมีรายได้ลดลงจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง

Loading comments...